หางานอย่างไร เมื่อการส่ง resume ตาม job board อาจไม่เวิร์คอีกต่อไป? - LearnAlgorithm
NEW 7-Days Fundamentals Class #3 เปิดแล้ว เรียนจบไม่ต้องจ่าย
August 1, 2025
|
10 mins read

หางานอย่างไร เมื่อการส่ง resume ตาม job board อาจไม่เวิร์คอีกต่อไป?

ชวนคุย strategy ในการหางาน และแชร์ประสบการณ์การหางานกับ principle ที่ว่า “Working before getting hired”

หางานอย่างไร เมื่อการส่ง resume ตาม job board อาจไม่เวิร์คอีกต่อไป?

ช่วงหลัง ๆ มานี้หลายคนที่เป็น developers พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหางานยากมาก บางคนส่ง resume ไปหลายที่มาก ๆ แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลย

มันก็คงจะด้วยเหตุปัจจัยหลาย ๆ อย่างหล่ะ เช่นการมาของ AI ที่จ้างคนที่มีประสบการณ์ 1 คนคุ้มกว่าการจ้างคนที่พึ่งจบใหม่ 3 คน ทำให้หลายบริษัทผันตัวไปเป็น senior-only company มากขึ้น

อย่างไรก็ตามบทความนี้เราไม่ได้มาพูดถึงว่าเราควรจะฝึกเขียนโค้ดยังไง ต้องฝึก skills ไหนหรือใช้ AI ยังไง แต่อยากมาชวนคุยถึง “strategy ในการหางาน” มากกว่า

โดยเฉพาะในยุค AI ที่ในช่วงนี้หลาย ๆ อย่างยังค่อนข้างเละเทะ ๆ อยู่

Job boards are dead

“การส่ง resume ตาม job board เป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว”

หนึ่งในวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้มากที่สุดก็คือการส่ง resume หรือ cover letter ไปตาม job position บน job board ต่าง ๆ

แน่นอนหล่ะว่าเมื่อก่อน process เหล่านี้เป็นอะไรที่ time consuming มาก ๆ แต่ละคนอาจจะส่งได้ 50 ที่หรือ 100 ที่ …แต่ในยุค 2025 เรามีสิ่งที่เรียกว่า “AI” พระเอกของเรานั่นเอง 😂

ช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็น SaaS เยอะมากที่เข้ามาแก้ปัญหานี้ ทำ AI agents ที่ช่วย automate job application process ช่วยปรับ resume หรือเขียน personalized cover letter ให้ พร้อมกับช่วย submit position เป็นพัน ๆ ที่ตาม board ต่าง ๆ พร้อมกันได้ในชั่วโมงเดียว

AIApply

ชวนคิดกันเล่น ๆ

“จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทุกคนใช้ tool พวกนี้กันหมด?”

พอคน ๆ นึงส่ง resume เป็นพัน ๆ หรือหมื่น ๆ ที่ แน่นอนว่าในฝั่งของบริษัทเองก็ต้องได้รับ resume เข้ามาเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ application เช่นกัน …สุดท้ายมันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่บริษัทเหล่านี้ก็ต้องใช้ AI tool มา filtering เช่นกัน

สุดท้ายเลยเกิดเป็นระบบ “AI vs AI” ที่การที่เราจะ stands out ได้เป็นเรื่องที่ยากมาก และ resume ของเราอาจไปไม่ถึงมือของคนจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ

“บางทีคนที่ผ่านไป interview ได้อาจจะเป็นคนที่เขียน prompt เก่ง มากกว่าคนที่ทำงานได้?”

ทางแก้ปัญหานึงก็คือบริษัทอาจจะต้องมี filtering system อะไรสักอย่างเพื่อช่วย filter คนออกเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ สมัยก่อนเช่น LeetCode หรือ online assessment

…แต่สุดท้ายด้วยพลังของ “AI” ก็โกงได้อยู่ดี

Interview Coder
ตัวอย่าง tool เช่น Interview Coder

จะเห็นว่าการมาของ AI ทำให้ระบบที่ไม่ค่อยจะ effective อยู่แล้วแทบจะ useless ไปเลย ไม่แปลกที่ถ้าหลายบริษัทคงจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบนี้มากนักหลังจากนี้

Referral

อีก strategy นึงที่ช่วยให้เราข้าม filtering system แล้วได้เข้าไป interview กับคนจริง ๆ ได้ก็คงจะเป็นระบบ “referral” จากคนที่ทำงานในบริษัท

ส่วนตัวมองว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดเลย เพราะส่วนนึงนอกจากจะได้ข้าม filtering system ไป interview แล้ว คนที่มา refer ให้ก็ต้องมีภาพอยู่แล้วว่าการทำงานเป็นทีมในบริษัทเป็นแบบไหนและต้องการคนแบบไหน ซึ่งสามารถ work ไปด้วยกันได้

ความยากก็คงจะเป็นเรื่องของคนที่พึ่งจบใหม่ เพราะแทบไม่รู้จักหรือเคยร่วมงานกับใครเลย และถ้าจะไป apply job board ก็คงจะเจอปัญหาเดียวกันกับที่อธิบายไปในหัวข้อด้านบน

สุดท้ายเลยเกิดเป็น “fresh graduate dilemma” ที่พอไม่มีประสบการณ์ก็หางานไม่ได้ พอหางานไม่ได้ก็ไม่ประสบการณ์

Fresh graduate dilemma

เรียกได้ว่าปัญหาไก่กับไข่สุด ๆ …แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี?

Working before getting hired

วิธีการแก้สมการสองตัวแปรคือเราต้องรู้ตัวแปรใดตัวแปรนึงก่อนครับคือ

“เราต้องหาประสบการณ์การทำงาน โดยที่ยังไม่ได้งานทำ”

ก่อนที่เราจะไปอธิบายข้อความข้างต้นเราอยากชวนกลับมุมมองอีกหน่อยครับ …มองว่า “ตัวเราเองเป็นธุรกิจ” ส่วนลูกค้าของเราคือ “บริษัทที่จะจ้างเราไปทำงาน”

เราจะพบว่าลูกค้าของเรา (บริษัทที่จะจ้างเรา) นั้นต้องการอยู่ 2 อย่าง

1. Technical-fit: คือเราสามารถเข้าไป fill “skill” บางอย่างได้ไหม เช่นบริษัทอาจจะเข้า market ใหม่ ๆ แล้วขาดทักษะบางอย่าง หรือบริษัทกำลังโตแล้วต้องการคนมาช่วยทำให้งานเสร็จไวขึ้น (ทั้ง software engineering skills และ domain expertise)

2. Culture-fit: คือเราทำงานเข้าขากับทีมในบริษัทนั้น ๆ ได้ดีมากน้อยแค่ไหน เป้าหมายของบริษัทตรงกับเป้าหมายระยะยาวของเรารึป่าว เราเป็นคนที่บริษัทอยากทำงานด้วยไหม

“If this person were alone in the office on a Sunday, would that make you more likely to come in and want to work with them?” The Sunday Test

ด้านบนสองข้อนี้ส่วนตัวมองว่าเป็น need กว้าง ๆ อย่างไรก็ตามเพื่อที่เราจะหา “ลูกค้าคนแรกของเรา” เราต้องทำ 3 อย่างเหมือนกับการทำธุรกิจทั่ว ๆ ไป…

1. Identify market

“เมื่อสังคมใหญ่ขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น บทบาทหน้าที่ยิ่งเล็กลง”

ในยุคหิน คน ๆ นึงต้องทำทุกอย่างทั้งล่าสัตว์ หาอาหาร หาน้ำ หาที่นอน เอาชีวิตรอด

พอเข้าสู่ยุคเกษตรกรรมเริ่มอยู่กับเป็นกลุ่มมากขึ้น คน ๆ นึงเริ่มมีหน้าที่ชัดเจนขึ้น คนนึงขายเนื้อ คนนึงหาน้ำ คนนึงปลูกผัก อีกคนเป็นนักรบคอยปกป้องหมู่บ้าน

พอเข้ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมอยู่กันเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้น หน้าที่ก็ยิ่งชัดขึ้นไปอีก คนนึงเก่งเรื่องทาสีรถ คนนึงเก่งเรื่องประกอบล้อรถ คนนึงเก่งเรื่องทอเสื้อ

“ยิ่งสังคมใหญ่ขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น บทบาทหน้าที่ยิ่ง specific มากขึ้น เพราะเราจะได้ทำสิ่งนั้นได้เก่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

เราเชื่อว่าการมาของ AI จะทำให้สังคมในโลกของ software ใหญ่ขึ้นไปอีก - จากเดิมที่ dev คนต้องทำทุกอย่างเอง ตอนนี้เรามี tool หรือโยนหลาย ๆ อยากให้ AI ทำแทนเราได้ ทำให้เราไป focus กับอะไรที่ซับซ้อนขึ้นได้

เมื่อก่อนเรามี software engineer ตอนนี้เรามี frontend, backend, iOS engineer และเราเชื่อว่าในอนาคต role จะยิ่ง specific มากขึ้นไปอีกเช่น

  • Video automation engineer - ที่เก่งโคตร ๆ เรื่องการสร้าง video ด้วยโค้ด
  • หรือ AI automation engineer ที่ specialize ไปบาง industry ไปเลยที่ทำ automation สำหรับโรงพยาบาล หรือสำนักงานกฎหมายเท่านั้น

คำถามไม่ใช่ว่าเราจะทำ specific role อะไรแต่เป็น “เราอยากอยู่ใน market ไหน?”

“education” “video editing” “AI code editor” “creative coding” “robotic” …

ยิ่ง market ชัดเรายิ่งไปได้ไวกว่าคนอื่น โดยเฉพาะในยุคนี้ที่มี internet หรือ AI - ในทางกลับกันถ้า market เราใหญ่เกินไป (เช่นบอกว่าจะทำ frontend) เราจะมี option เยอะไปหมดจนตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย

Tip: เลือก market เดียวที่คิดว่าจะอยู่กับมันได้น้อย ๆ 3 ปี; เริ่มจากสังเกตว่ามี product/software ไหนที่ตัวเองใช้อยู่แล้วชอบมันมาก ๆ หรืออะไรที่ตื่นเต้นกับอนาคต ลองแบ่งเวลาวันละชั่วโมงหาหนังสือ podcast หรือกดติดตามคนใน niche นั้น ๆ

2. Identify problem

เมื่อเราเลือก niche market ได้แล้วเราจะพบว่าเส้นทางของเราจะชัดขึ้นมาก เราจะรู้ว่า top company ใน market นั้นมีบริษัทอะไรบ้าง และแต่ละบริษัทเขารับคนแบบไหนเข้าทำงาน บริษัทไหน culture-fit กับเรา

คำถามต่อมาคือเราจะพัฒนา technical-fit ของเราได้ยังไง? ขอเรียงจากง่ายไปยากอย่างนี้ครับ

  1. “ต้องฝึกอะไรบ้าง?” - เข้าไปดูหน้า career แล้วอ่าน job description เลยว่า core skills หลัก ๆ ที่ต้องมีคืออะไรบ้าง
  2. “ต้องแก้ปัญหายังไง?” - เข้าไปอ่าน technical blog หรือ github issues แล้วดูเลยว่าบริษัทใน market นั้น ๆ เขากำลังแก้ปัญหาอะไร เขาแก้ยังไง ลองหยิบปัญหาเล็ก ๆ มาแก้และ contribute open-source เท่าที่ทำได้
  3. “ต้องแก้ปัญหาอะไร?” - identify problem หรือ market gap ด้วยตัวเองแล้วทำ side-project ขึ้นมาแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง (อาจต้องลองผิดลองถูกหลายครั้งหน่อย)

Side-project is the ultimate form of resume: เราเชื่อว่า side-project คือ resume ที่ดีที่สุดเพราะมันบอกว่า 1. เรา identify ปัญหาเองได้ 2. เรามี skills และสามารถแก้ปัญหาจากต้นจนจบได้ (get things done) 3. มันเป็น form of expression ที่บอกว่าเรามีความเชื่อหรือความคิดเห็นยังไง (product design principles)

3. Marketing and sales

ในเมื่อเรามี technical-fit และ culture-fit ก็ได้เวลาหาลูกค้าคนแรกแล้วครับ ส่วนตัวขอแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ marketing (ทำให้ลูกค้าที่สนใจเห็นเรา) กับ sales (ทำให้ลูกค้าที่สนใจเราแล้วซื้อเรา)

ขยายความนิดนึงครับ: ขั้นตอนนี้ไม่ควรรอขั้นตอนที่ 2 ให้เรียบร้อยก่อน แต่ทำไปพร้อม ๆ กัน

1. Marketing: Build and learn in public ทำเพจ เขียน blog แชร์ความรู้ลง social media ต่าง ๆ ตอนที่กำลังสร้างหรือกำลังเรียนรู้เรื่องอะไรสักอย่าง build audience

2. Sales: Cold outreach หาเลยว่าใครที่ทำงานอยู่ในบริษัทที่เราอยาก join (อาจจะใช้ LinkedIn หรือ Twitter) แล้วทักไปเลยว่า “อันนี้คือผลงานที่ทำอยู่ มีความคิดเห็นยังไง อยากเก่งกว่านี้ต้องทำยังไง ถ้าอยาก join บริษัทต้องทำยังไง” แล้วขอ keep contact ไว้

บทสรุป

ขั้นตอนข้างต้นเป็น long-term process ที่คงไม่ได้เห็นผลลัพธ์ในเดือนเดียว แต่เราเชื่อว่ามันเป็น process ที่ timeless ที่ไม่ว่าจะมี AI มี AGI หรืออะไรก็ตามเราก็ยังคงใช้หลักการนี้ได้อยู่เสมอ ๆ

ส่วนตัวเราเองก็ได้งานจากการทำโปรเจคเช่นกัน เราได้งานเกี่ยวกับ DeFi จากการทำโปรเจค Uniswap Calculator ปล่อยลง FB และเราได้มีโอกาสร่วมงานกับ Excalidraw ก็เพราะเราทำโปรเจค Readily ปล่อยลง Twitter

…และเราเห็นเคสแบบนี้เข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งเพื่อนไกล้ตัวที่ได้งานจากการโพสผลงานลง Twitter หรือหลาย ๆ เคสที่ไป contribute open-source หรือช่วยตอบคำถามใน Discord จนได้งาน

เราหวังว่าบทความนี้ช่วยคนที่กำลังหางานได้ไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างน้อยก็หวังว่าจะได้เห็น alternative อีกทางนึง ถ้าอยากปรึกษาหรือให้ช่วยอะไรทักเข้ามาคุยกันในเพจได้เสมอครับ ✌️

แล้วก็ขอฝากโปรเจค Coders At Work ด้วยนะครับ เป็นบทสัมภาษณ์ที่จะชวนผู้อ่านไปพูดคุยเจาะลึก “กระบวนการแก้ปัญหา” และ “วิธีคิดเบื้องหลัง” ของนักพัฒนาเก่ง ๆ ในประเทศไทย

Chun Rapeepat

Rapeepat Kaewprasit (Chun)

คน ๆ หนึ่งที่ชื่นชอบในการสร้าง การทำธุรกิจ และการได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ